ทำไมผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลเท้าเป็นพิเศษ ?
ความเสี่ยงต่อการเกิดแผล และปัญหาของเท้าที่พบบ่อยในผู้เป็นเบาหวาน เช่น เท้าผิดรูป หรือแผลเรื้อรังที่เท้า เป็นปัญหาสำคัญ มีผลต่อคุณภาพชีวิต และอาจเป็นสาเหตุของความพิการไปจนถึงสูญเสียเท้าหรือขา เพราะผู้ที่เป็นเบาหวานมักจะมีความผิดปกติของปลายประสาท โดยเริ่มที่ปลายเท้าก่อน ทำให้มีอาการเท้าชา หากไม่ระวังอาจเกิดแผลที่เท้าโดยไม่รู้ตัว การเป็นเบาหวานทำให้แผลหายช้า อีกทั้งการที่ไม่รู้สึกเจ็บทำให้ยังใช้เท้าเดินต่อไป จะทำให้แผลที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถหายได้ ดังนั้นถ้าหากเรารู้จักวิธีการดูแลเท้าที่ถูกต้องและปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ ก็จะสามารถป้องกันการเกิดแผลที่เท้า และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
วิธีดูแลเท้าที่ถูกต้อง
การตัดเล็บเท้าที่ถูกต้อง
ข้อห้ามปฎิบัติเกี่ยวกับเท้า
การออกกำลังกายเท้า
เพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาสู่ปลายเท้า ผู้ป่วยเบาหวานควรออกกำลังกายเท้า โดยบริหารเท้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง ๆ ละ 5-10 นาที
การออกกำลังกายบริการเท้า
โรครองช้ำ ภาวะพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ
เกิดจากการอักเสบหรือฉีกขาดของเอ็นพังผืดใต้ฝ่าเท้า โดยที่พังผืดใต้ฝ่าเท้า ทำหน้าที่รองรับการกระแทกและกระจายแรงจากน้ำหนักของร่างกายในขณะที่เรามีการลงน้ำหนักเพื่อยืนหรือเดิน การใช้งานเท้าซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง หรือการรับน้ำหนักที่มากเกินไประหว่างวัน โดยปราศจากความยืดหยุ่น จะทำให้เกิดแรงตึงตัวระหว่างเอ็นพังผืดใต้ฝ่าเท้าและส้นเท้าที่มากขึ้น จนท้ายที่สุดอาจทำให้ทั้งส้นเท้าและเอ็นพังผืดใต้ฝ่าเท้าได้รับความเสียหายจากการฉีกขาด และส่งผลให้เกิดการอักเสบตามมา
อาการของโรครองช้ำ
ผู้ป่วยโรครองช้ำส่วนใหญ่มักจะมีอาการเหมือนหรือใกล้เคียงกัน โดยอาการอาจจะเกิดขึ้นตลอดเวลาหรือจะเป็น ๆ หาย ๆระหว่างวันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการของโรครองช้ำมีดังนี้
ปัจจัยหรือสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดรองช้ำ
การดูแลตนเองในโรครองช้ำ
การรักษาโดยส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลาและมีการดูแลตัวเองต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานพอสมควร เนื่องจากพฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยส่งผลโดยตรงต่อตัวโรค อย่างไรก็ตามโรครองช้ำเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ การดูแลตนเองในภาวะบาดเจ็บและอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้าพื้นฐาน มีดังนี้...
4. หมั่นกายภาพบำบัด นวดคลึง ยืดกล้ามเนื้อน่องและพังผืดฝ่าเท้าเป็นประจำทุกวันโดยยืดแค่รู้สึกตึง ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวด ค้างไว้ 15 วินาที 10-20 ครั้งต่อท่า ทำสลับกันทั้งเท้าซ้ายและขวา
โรคข้อไหล่ติด(Adhesive capsulitis / Frozen shoulder) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนกลุ่มวัยกลางคน อายุ 40 - 60 ปีโดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดและเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้ลำบาก โดยที่อาการจะเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเอ็นหุ้มไหล่ ทำให้มีการหนาตัวและเกิดการหดรั้งของเอ็นหุ้มข้อไหล่
โรคข้อไหล่ติดจะพบได้บ่อยในบุคคลที่ทำกิจกรรมที่ต้องใช้แขนเคลื่อนไหวในท่าหรือทิศทางเดิมซ้ำๆเป็นประจำ เช่น เอื้อมหยิบของ เหวี่ยงแขน แกว่งแขน กระชากดึงหรือยกของหนัก ผู้ป่วยบางรายมีอาการปวดจากการนอนทับข้อไหล่เป็นระยะเวลานาน ผู้ป่วยบางรายประสบอุบัติเหตุบริเวณข้อไหล่จนทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังของเอ็นหุ้มไหล่ ในบางรายมีอาการอักเสบของเอ็นหุ้มไหล่จากการมีกระดูกปลายแขนหัก ต้องใส่เฝือกจนไม่ได้ใช้งานข้อไหล่เป็นเวลานาน
ทางการแพทย์จะแบ่งช่วง ระยะการดำเนินการของโรคข้อไหล่ติดออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่…
ระยะที่ 1 Freezing phase เป็นช่วงที่มีที่มีการอักเสบอาการเจ็บปวดที่รุนแรงโดยเฉพาะในช่วงกลางคืนจนรบกวนการพักผ่อนและการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยจะปวดมาก แต่จะยังไม่มีการติดแข็งของข้อไหล่
ระยะที่ 2 Frozen phaseระยะนี้จะมีอาการปวดลดลงแต่จะมีอาการติดของไหล่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการหมุนแขนเข้า-ออกและการกางแขน ผู้ป่วยมักบอกว่าไม่สามารถกางแขน ยกแขนไม่สุดช่วง หรือ เอื้อมมือหวีผมไม่ได้ ในเพศหญิงจะติดตะขอเสื้อในด้านหลังไม่ได้
ระยะที่ 3 Thawing phaseเป็นช่วงที่ผู้ป่วยขยับข้อไหล่ได้ลดลง อาการเจ็บปวดโดยทั่วไปจะลดลงเช่นกัน ผู้ป่วยบางรายจะสามารถขยับข้อไหล่ได้มากขึ้นแบบช้าๆ
ทั้งนี้อาการทั้ง 3 ระยะของโรคข้อไหล่ติดจะมีการดำเนินการของโรคที่ยาวนาน การรักษาข้อไหล่จนกลับมาใช้งานได้ปกติจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับอาการแต่ละบุคคล
กายภาพบำบัดในโรคข้อไหล่ติด
1.1 ยกแขนท่านั่ง
A. ท่าตั้งต้น นั่งหลังตรง มือประสานกัน
B.ท่าบริหาร ยกแขนขึ้นให้สุดช่วงเท่าที่ได้ โดยใช้มือข้างที่ปกติ ประคองข้างเจ็บ
ยกขึ้น 20 ครั้ง /เซ็ต โดยทำ 2 - 3 เซ็ต/วัน
1.2 ยกแขนท่านอน
A. ท่าตั้งต้น:นอนหงาย
B.ท่าบริหาร :ยกแขนขึ้นให้สุดช่วงเท่าที่ได้ ใช้มือข้างที่ปกติ ดันศอกข้างที่เจ็บให้เหยียดไปเหนือศีรษะเมื่อสุดช่วงให้ค้างไว้ 10 วินาที ก่อนนำแขนลง
บริหารท่านี้ 20 ครั้ง / เซ็ตโดยทำ 2 - 3 เซ็ต / วัน
2. การขยับสะบักเพื่อความมั่นคงของการเคลื่อนไหวข้อไหล่
A.ท่าตั้งต้น : นั่งหรือยืนตรง ออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อสะบัก
B.ท่าบริหาร : บีบให้เข้าหาแกนกลางลำตัว
ควรทำท่าบริหารสะบัก 20 ครั้ง / 1 เซ็ตโดยทำ 2 - 3เซ็ต/วัน
3. การยืดต้นแขนเพื่อลดการตึงตัวของไหล่ด้านหน้า
A. ท่าตั้งต้น:เหยียดแขนหรือตั้งฉากศอกกับกำแพง
B.ท่าบริหาร :หมุนตัวไปด้านตรงข้ามกับแขนที่เท้ากับกำแพง จนรู้สึกตึงที่ต้นแขนหรือหน้าไหล่
ค้างไว้ในจุดที่รู้สึกตึง 15 วินาที 10 ครั้ง/เซ็ต โดยทำ 2 - 3 เซ็ต/วัน
A. ท่าตั้งต้น ทิ้งแขนลงกับพื้นในแนวตั้งฉาก
B.ท่าบริหาร ผ่อนคลายข้อไหล่ เหวี่ยงแขนเป็นวงกลมตามแรงโน้มถ่วงโดยไม่ออกแรงช่วย
หมุนไหล่ 20 ครั้ง / 1 เซ็ต ทำทั้งไปและกลับ 2 เซ็ต/วัน
การดูแลตนเองพื้นฐานในโรคข้อไหล่ติด
นอกจากการทำกายบริหารแล้วผู้ป่วยสามารถที่จะประคบร้อนและประคบเย็นที่ข้อไหล่เวลาที่มีอาการปวดได้ไม่แนะนำให้นวด/บีบเค้นในบริเวณที่ปวด การประคบร้อนหรือเย็น ให้พิจารณาและปฏิบัติ ดังนี้...
ประคบร้อน (Hot) | ประคบเย็น (Cold) |
กล้ามเนื้อตึงเกร็ง หรือ ต้องการให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว | มีการอักเสบเพิ่มขึ้น ทราบได้จากการปวดเพิ่ม ผิวแดง ข้อไหล่ร้อนวูบวาบ |
ทำก่อน/หลังกายบริหาร 15 - 20 นาที / ครั้ง | ทำหลังกายบริหารเมื่อปวดเพิ่ม 10 – 15 นาที / ครั้ง |
สาเหตุของการปวดหลัง (back pain)
การปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวัน สำหรับคนทั่วไปและผู้ที่มีอาการปวดหลัง
ปรับจากท่าทางการนอน
ปรับจากท่าทางการนั่งทำงาน
ท่าบริหารร่างกายสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง
ท่ายืดกล้ามเนื้อสะโพก
ท่าดึงเข่าชิดอก นอนหงายชันเข่ามือสองข้างสอดใต้ข้อพับเข่าทั้งสองข้างดึงเข่าขึ้นให้หัวเข่าทั้งสองข้างชิดหรือเข้าใกล้อกที่สุดค้างไว้ 10-15 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง
ท่าบิดเอว นอนหงายชันเข่าข้างซ้ายขึ้นไขว้ขาข้ามขาข้างขวาที่เหยียดตรงใช้มือข้างขวาจับหัวเข่าซ้ายบิดไปด้านตรงข้ามจนสุดหรือรู้สึกว่าตึงหรือเจ็บพอทนได้ค้างไว้ 10-15 วินาทีทำอีกข้างสลับกัน 20 ครั้ง
ท่ายืดกล้ามเนื้อหลัง
ท่ายกแผ่นหลัง นอนคว่ำให้ลำตัวระนาบกับพื้น วางมือไว้ที่ระดับไหล่แล้วค่อยๆยกไหล่ขึ้นเหนือพื้นโดยที่มือยังคงอยู่ที่พื้น ทำค้างไว้ประมาณ 5-10 วินาที
*ขณะที่ทำห้ามปวด หากมีอาการปวดเจ็บเมื่อแอ่นตัว ให้เปลี่ยนเป็นนอนราบกับพื้น 5 นาที
ท่ายกแขนและขา นอนหงาย ตั้งเข่ามาไขว้เป็นเลขสี่ เอื้อมมือมากอดขาดึงข้างที่เหยียบพื้นเข้าหาลำตัว แล้วจึงยกขา 2 ข้างขึ้นเหนือพื้นพร้อมๆกัน ทำค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที แล้วทำสลับข้าง (แขนซ้าย ขาขวา) ทำต่อไปอีก 10-20 ครั้ง ต่อขาหนึ่งข้าง
ท่าก้มยืดแผ่นหลัง นั่งคุกเข่า เหยียดตัวและแขนราบไปกับเตียง ก้นไม่ลอยเหนือส้นเท้า ทำค้างไว้ 10-15 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง
ท่าดัดงอแผ่นหลัง ชั้นแขนขาทั้งสองข้างบนเตียง แอ่นลำตัวค้างไว้ 5 ลมหายใจพร้อมเงยหน้าขึ้น จากนั้นสลับไปโก่งตัวค้างไว้ 5 ลมหายใจพร้อมกับก้มศีรษะลง ให้แอ่นตัวสลับกับโก่งตัวไปมาซ้ำ 20 ครั้ง
การปวดคอ บ่า และสะบัก
โดยปกติบริเวณที่แสดงอาการปวดสามารถเกิดได้ตั้งแต่หลังท้ายทอย บริเวณต้นคอ บ่ารวมถึงสะบัก โดยที่กล้ามเนื้อบริเวณคอบ่าสะบักส่วนใหญ่ มักจะแข็งเกร็ง หรือตึงตัว ทำให้ไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนได้สุดช่วง เมื่อมีอาการปวดร้าวเกิดขึ้น เป็นเพราะมีการกดทับของเส้นประสาท โดยอาจจะเกิดที่กระดูกคอเสื่อม หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท หรือกล้ามเนื้อบริเวณคอบ่าแข็งเกร็งจนกดทับเส้นประสาทที่ออกมาจากลำคอ ผู้ป่วยจะมีอาการจะปวดร้าวจากคอบ่าไปจนถึงปลายนิ้วมือ ในบางรายอาจจะมีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน ชาหรืออาการอ่อนแรงของแขนร่วมด้วย
ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อไหร่ ?
สาเหตุและพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการ ?
สาเหตุหลักของอาการปวดคอบ่าส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น กลุ่มผู้ที่มีพฤติกรรมทำงานค้างในท่าเดิมนานๆ หรือขยับท่าเดิมซ้ำๆ โดยสามารถแจกแจงสาเหตุของอาการปวดได้ ดังนี้
ท่าทางการปฏิบัติตัวในท่านั่งทำงาน
การดูแลตนเองพื้นฐานในอาการปวดคอบ่าสะบัก
ผู้ป่วยสามารถที่จะประคบร้อนและประคบเย็นเวลาที่มีอาการปวดได้ไม่แนะนำให้นวด/บีบเค้นในบริเวณที่ปวด การประคบร้อนหรือเย็น ให้พิจารณาและปฏิบัติ ดังนี้...
ประคบร้อน (Hot) | ประคบเย็น (Cold) |
กล้ามเนื้อตึงเกร็ง หรือ ต้องการให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว | มีการอักเสบเพิ่มขึ้น ทราบได้จากการปวดเพิ่ม ผิวแดง ร้อนวูบวาบ |
ทำก่อน/หลังกายบริหาร | ทำหลังกายบริหารเมื่อปวดเพิ่ม |
15 - 20 นาที / ครั้ง | 10 – 15 นาที / ครั้ง |
ท่ายืดกล้ามเนื้อคอ บ่า สะบัก
ท่าที่ 1 นั่งเก้าอี้มือไขว้หลัง จากนั้นเอียงศีรษะไปด้านตรงข้าม นำมืออีกข้างกดศีรษะลง จนรู้สึกตึง ค้าง 15 วินาที 10 - 20 ครั้ง
ท่าที่ 2 นั่งเก้าอี้มือไขว้หลัง เอียงศีรษะร่วมกับหันหน้าก้มมองสะโพกด้านตรงข้าม นำมืออีกข้างกดศีรษะลง ค้าง 15 วินาที 10 - 20 ครั้ง
ท่าที่ 3 นั่งเก้าอี้มือไขว้หลัง เอียงศีรษะไปด้านตรงข้าม แล้วหันหน้าไปทางไหล่ข้างที่ไขว้หลัง นำมืออีกข้างกดศีรษะลงจนรู้สึกตึง ค้างไว้ ค้าง 15 วินาที 10-20 ครั้ง
ท่าที่ 4 ออกแรงกดเข้าหาลำตัว เกร็งคอต้านแรงค้างไว้ 10 วินาที 10 ครั้ง
ท่าที่ 5 นั่งคุกเข่า เหยียดตัวและแขนราบไปกับเตียง กดไหล่เข้าหาเตียง ทำค้างไว้ 15 วินาที ทำซ้ำ 10 - 20 ครั้ง
ท่าที่ 6 หุบกางแขน 2 ข้างให้สุด ให้รู้สึกตึงบริเวณอกสองข้าง ทำค้างไว้ 15 วินาที ทำซ้ำ 10 - 20 ครั้ง
ท่าที่ 7 A. ท่าตั้งต้น : เหยียดแขนหรือตั้งฉากศอกกับกำแพง
B. ท่าบริหาร : หมุนตัวไปด้านตรงข้ามกับแขนที่เท้ากับกำแพง จนรู้สึกตึงที่ต้นแขนหรือหน้าไหล่ ค้างไว้ในจุดที่รู้สึกตึง 15 วินาที 10 ครั้ง/เซ็ต โดยทำ 2 - 3 เซ็ต/วัน
รับชม Video เพิ่มเติม :
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน