APPOINTMENT
นัดหมายแพทย์
APPOINTMENT
นัดหมายแพทย์
สายด่วน
02-998-9999

วัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็ก
วัคซีนพื้นฐาน คือวัคซีนที่เด็กๆ ทุกคนควรได้ตั้งแต่แรกเกิดซึ่งวัคซีนที่จำเป็นแต่ละชนิดควรได้รับตามวัยของลูกน้อย เพื่อช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานและป้องกันโรคภัยต่างๆ เพราะการฉีดวัคซีนจะช่วยสร้างภูมิต้านทานของโรคให้แก่เด็กในระยะยาว

วัคซีนทารกแรกเกิด

  1. วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG Vaccine) ฉีดให้เด็กก่อนออกจากโรงพยาบาล
  2. วัคซีนตับอักเสบบี (HBV) เข็มที่ 1 ฉีดภายใน 24 ชั่วโมงหลังเด็กเกิด

วัคซีนเด็กช่วงอายุ 1 เดือน

  1. วัคซีนตับอักเสบบี (HBV) เข็มที่ 2

วัคซีนเด็กช่วงอายุ 2 เดือน และ 4 เดือน

  1. วัคซีนรวม 5 โรค (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-วัคซีนโปลิโอ-วัคซีนฮิป )  เข็มที่ 1(สำหรับอายุ 2 เดือน) ,เข็มที่ 2 (สำหรับอายุ 4 เดือน)
  2. วัคซีนไวรัสโรต้า (RV) ป้องกันโรคท้องร่วงหยอดเข้าที่ปาก ครั้งที่1 (สำหรับอายุ 2 เดือน) ,ครั้งที่2 (สำหรับอายุ 4 เดือน)
  3. วัคซีนเสริม : วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ  (IPD) ครั้งที่ 1(สำหรับอายุ 2 เดือน) ,ครั้งที่ 2 (สำหรับอายุ 4 เดือน)

วัคซีนเด็กช่วงอายุ 6 เดือน

  1. วัคซีนรวม 6 โรค (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-วัคซีนโปลิโอ-วัคซีนฮิป-วัคซีนตับอักเสบบี)  เข็มที่ 3
  2. วัคซีนไวรัสโรต้า (RV) ป้องกันโรคท้องร่วง ครั้งที่ 3
  3. วัคซีนเสริม : วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ  (IPD) ครั้งที่ 3

วัคซีนเด็กช่วงอายุ 9-12 เดือน

  1. วัคซีนป้องกันหัด หัดเยอรมันและคางทูม (MMR) เข็มที่ 1
  2. วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE) ป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี เข็มที่ 1
  3. วัคซีนเสริม : วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เข็มที่ 1 โดยฉีด 2 เข็มห่างกัน1 เดือนในครั้งแรก หลังจากนั้นแนะนำฉีดปีละครั้ง

วัคซีนเด็กช่วงอายุ 12-15 เดือน

  1. วัคซีนเสริม : วัคซีนนิวโมคอคคัสชนิดคอนจูเกต (PCV) ป้องกันโรคปอดบวม เข็มที่ 4
  2. วัคซีนเสริม : วัคซีนอีสุกอีใส เข็มที่ 1
  3. วัคซีนเสริม : วัคซีนตับอักเสบเอ (HAV) เข็มที่ 1 ชนิดไม่มีชีวิตให้ 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน

วัคซีนเด็กช่วงอายุ 18 เดือน

  1.วัคซีนรวม 5 โรค (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-วัคซีนโปลิโอ-วัคซีนฮิป) เข็มที่ 4


วัคซีนเด็กช่วงอายุ 2-4 ปี

  1. วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE) เข็มที่ 2 (แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 2-2 ½ ปี)
  2. วัคซีนป้องกันหัด หัดเยอรมันและคางทูม (MMR) เข็มที่ 2
  3. วัคซีนอีสุกอีใส เข็มที่ 2

วัคซีนเด็กช่วงอายุ 4-6 ปี

  1. วัคซีนรวม 4 โรค (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-วัคซีนโปลิโอ)เข็มที่ 5


วัคซีนเด็กช่วงอายุ 11-12 ปี

  1. วัคซีนเสริม : วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก–ไอกรน (TdaP) กระตุ้น 1 เข็ม จากนั้นฉีดกระตุ้นด้วย Td ทุก 10 ปี
  2. วัคซีนเสริม : วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี (HPV) ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไปโดยฉีด 2 เข็มห่างกัน 6-12 เดือน (ฉีดได้ทั้งในเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย โดยในเด็กผู้ชายนั้นสามารถป้องกันโรคหูดหงอนไก่และมะเร็งทวารหนักในเด็กผู้ชายได้ด้วย)

การปฏิบัติตัวสำหรับการรับวัคซีน


คำถามที่พบบ่อย

ควรตรวจภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนตับอักเสบบีหรือไม่ แนะนำในกลุ่มไหน
                ในเด็กที่เกิดจากแม่ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี หลังจากได้รับวัคซีนครบแล้ว แนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันต่อตับอักเสบบี ที่อายุประมาณ 9-12 เดือน เพื่อยืนยันว่ามีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบีจริง และยืนยันว่าไม่ติดไวรัสชนิดนี้ด้วย

วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน มีอาการข้างเคียงที่สำคัญอย่างไร
                อาการข้างเคียงที่สำคัญหลังฉีดวัคซีนชนิดนี้ คือ ไข้สูง ร้องกวน ตัวอ่อนปวกเปียก มักเกิดในช่วง 48 ชั่วโมงหลังจากฉีดวัคซีน หากใช้วัคซีนไอกรนชนิดไม่มีเซลล์โอกาสเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้จะลดลง อาการทางสมองที่รุนแรง (encephalopathy) ที่เกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีนภายใน 7 วัน ถือเป็นข้อห้ามในการรับวัคซีนไอกรนทุกชนิด แต่อย่างไรก็ตามพบได้น้อยมาก ให้ใช้วัคซีนคอตีบ บาดทะยักแทน แต่ถ้ามีอาการแพ้แบบรุนแรง (anaphylaxis) เป็นข้อห้ามในการรับวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน ทุกชนิด

ทำไมต้องฉีดวัคซีนโปลิโอตอนอายุ 4 เดือนร่วมกับหยอดโปลิโอด้วย
                ปัจจุบันวัคซีนโปลิโอชนิดกิน (OPV) มีส่วนประกอบเป็นเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ 1 และ 3 เท่านั้น ไม่มีเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ที่ 2 เนื่องจากไม่พบการระบาดของสายพันธุ์นี้ และคาดว่ากำจัดได้หมดแล้ว อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันการระบาดใหม่ที่อาจพบได้จากเชื้อในธรรมชาติ จึงต้องรับวัคซีนโปลิโอชนิดฉีด (IPV) ที่มีทั้ง 3 สายพันธุ์ ซึ่งพบว่า เมื่อให้ IPV 1 เข็ม ที่อายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดี จึงแนะนำให้เด็กอายุ 4 เดือน ที่รับวัคซีน OPV ต้องรับวัคซีน IPV ด้วย

วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) ควรเริ่มให้อายุเท่าไหร่ กี่เข็ม
                ปัจจุบันแนะนำให้เริ่มให้ MMR เข็มแรกที่อายุ 9 เดือน-1 ปี การที่รับวัคซีนก่อนหน้าเร็วเกินไป วัคซีนจะไม่สามารถกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันเนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันแม่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ขัดขวางการสร้างภูมิในตัวของเด็ก เข็มที่สองให้เมื่ออายุ 2 ปี 6 เดือน

วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็น ต่างจากชนิดเดิมอย่างไร
                วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีปัจจุบัน ผลิตจากไวรัสที่อ่อนกำลังลง นำมาทดแทนวัคซีนเดิมที่ผลิตมาจากเชื้อตาย วัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนกำลังต้องฉีด 2 เข็ม มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อยกว่า เมื่อเทียบกับวัคซีนเชื้อตายที่ต้องฉีด 3 เข็ม และอาจพบผลข้างเคียง เช่น ปวด บวม แดง ร้อน ไข้ ปวดศีรษะ ลมพิษ หรือภาวะสมองอักเสบเฉียบพลันได้ อย่างไรก็ตามวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นนี้ห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

วัคซีนเอชพีวี สามารถให้ในเด็กชายได้หรือไม่
                สามารถให้ได้ วัคซีนนี้สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งที่ทวารหนักได้ แต่ปัจจุบันวัคซีนนี้ยังไม่ได้บรรจุเป็นวัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็กชายไทย วัคซีนเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์มีประโยชน์ในการป้องกันโรคหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศและทวารหนักได้ด้วย

ถ้าได้รับวัคซีนไม่ครบ จำเป็นต้องเริ่มฉีดใหม่หมดหรือไม่
ไม่ต้องเริ่มนับใหม่ ให้ฉีดต่อจนครบ

พัฒนาการของลูกน้อย ที่เริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์
พัฒนาการที่สมบูรณ์ แข็งแรงตามวัยของลูกน้อย เป็นสิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่ ทุกท่านต้องการ ดังนั้น การดูแลลูกตั้งแต่การตั้งครรภ์ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะพัฒนาการที่สมบูรณ์เริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์

ก่อนการตั้งครรภ์ควรเตรียมตัวอย่างไร?
หากมีโรคประจำตัวอยู่ คุณแม่ควรควบคุมดูแลให้ดีก่อนตั้งครรภ์ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคธาลัสซีเมีย และโรคโลหิตจาง

ตรวจเลือดหาโรค
- โรคไวรัสตับอักเสบ โรคหัดเยอรมัน เพื่อพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกัน
- โรคซิฟิลิส โรคเอดส์ เพื่อการรักษาไม่ให้โรคส่งผลถึงตัวเด็กได้
- โรคธาลัสซีเมีย หากมีปัญหา จะได้ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในเด็ก

ให้ความสำคัญกับวิตามิน
- วิตามินโฟเลต ลดความเสี่ยงต่อภาวะพิการของระบบประสาทและสมองในเด็ก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่

เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ควรทำอย่างไร?
ไปพบแพทย์เพื่อยืนยันผลการตั้งครรภ์ และทำการฝากครรภ์ ตรวจผลเลือด ทำการปรึกษาแพทย์ในเรื่องโรคประจำตัวต่างๆ ยาที่ใช้อยู่เป็นประจำ , โรคพันธุกรรมต่างๆ ในครอบครัว (ถ้ามี) รวมไปถึงกรุ๊ปเลือด

12 สัปดาห์แรก  
เตรียมรับมือกับอาการแพ้ท้อง ทานอาหารที่สามารถทานได้ ยังไม่ต้องคำนึงถึงการบำรุงมากนัก ยังไม่จำเป็นต้องทานยาบำรุงเลือด หรือแคลเซียม หรือนม ให้ระมัดระวังการกระทบกระเทือนบริเวณท้องน้อย หลีกเลี่ยงการยกของหนัก การมีเพศสัมพันธ์ คุณแม่มือใหม่สามารถออกกำลังกายได้ แต่ห้ามรุนแรง ห้ามหักโหม แนะนำให้ใช้วิธีการเดินดีกว่าวิ่ง และสามารถว่ายน้ำได้ ระมัดระวังการใช้ยาให้มากเป็นพิเศษ คุณแม่สามารถใช้ยาแก้ปวดประเภท Paracetamol, ยาแก้หวัด Cholotpheniramine , ผงเกลือแร่
*และหากมีความจำเป็นต้องทำฟัน คุณแม่ต้องแจ้งคุณหมอทุกครั้ง “ว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่”
*อย่าลืมหลีกเลี่ยง สารพิษและมลภาวะ หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ ต่างๆ ที่จะทำให้เกิดโรค เช่น โรคหัดเยอรมัน โรคไข้สุกใส โรคไข้หวัดใหญ่

11-14 สัปดาห์
สังเกตได้ว่าหน้าท้องจะใหญ่ขึ้นจนรู้สึกได้ อาการแพ้จะเริ่มน้อยลง ทานอาหารได้มากขึ้น ควรเริ่มทานยาบำรุงเลือด เริ่มดื่มนม ทานอาหารที่มีประโยชน์กับครรภ์มากขึ้น ควรงดน้ำตาล ลดของหวาน ลดอาหารจำพวกไขมัน เน้นทานโปรตีน ผัก ผลไม้ 
ควรหาเวลามาตรวจอัลตร้าซาวด์ หรือตรวจเลือดเพื่อเช็คดูความเสี่ยงที่อาจจะเกิดกับลูก เช่น การเกิดดาวน์ซินโดรม (เกิดมากให้กลุ่มคุณแม่ช่วงอายุมากกว่า 35 ปี)

16 -18 สัปดาห์
(ในกรณีคุณแม่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการที่ลูกอาจเป็นดาวน์ซินโดรม แนะนำให้เข้ารับการตรวจน้ำคร่ำ) หาความรู้เรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ วิธีการเลี้ยงดูลูกหลังคลอด เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาสบายที่สุดของคุณแม่ เพราะอาการแพ้ท้องจะเริ่มน้อยลง หรือไม่ค่อยแพ้ท้อง หากรอหลังคลอด คุณแม่อาจไม่มีเวลานั่งศึกษาข้อมูล เพราะอาจจะต้องวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยได้

20-22 สัปดาห์
หน้าท้องจะเริ่มใหญ่ขึ้นถึงระดับสะดือ เริ่มสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของลูกน้อยในครรภ์เบาๆ แนะนำให้ตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อดูอายุครรภ์ ตรวจคัดกรองความผิดปกติของลูกน้อย ของรก และน้ำคร่ำ เน้นดูแลเรื่องอาหารการกิน ดื่มนมอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน ควรใส่เสื้อผ้าหลวมๆ สบายๆ ไม่แนะนำให้ใส่ชุดที่รัดหน้าท้อง

24 สัปดาห์
หน้าท้องจะเริ่มใหญ่ขึ้นเหนือสะดือ รู้สึกถึงการดิ้นของลูกน้อยได้อย่างชัดเจน เน้นเข้มงวดเรื่องการทานยาบำรุงเลือด แคลเซียม และการดื่มนม (วันละ 2 แก้ว) ควรตรวจอัลตร้าซาวด์ เพื่อยืนยันอายุครรภ์ ติดตามการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ อย่าลืมเรื่องอาหารเป็นพิเศษ งดของหวาน  น้ำหวาน ไขมัน เน้นทานโปรตีน ผัก ผลไม้ ควบคุมดูแลให้น้ำหนักอยู่ที่สัปดาห์ละประมาณครึ่งกิโลกรัม ไม่ควรเกินหนึ่งกิโลกรัม (ชั่งน้ำหนักด้วยเครื่องชั่งเดียวกัน เวลาใกล้เคียงกัน) ห้ามใช้วิธีการอดอาหาร ห้ามลดน้ำหนัก

28 สัปดาห์
สังเกตการดิ้นของลูกน้อยทุกวัน และให้นับจำนวนครั้งที่ลูกดิ้น เด็กที่แข็งแรงจะดิ้นมากกว่า 10 ครั้งต่อวัน ถ้าเกิดการตะคริว แสดงว่าลูกน้อยได้นำแคลเซียมจากตัวคุณแม่ไปใช้มาก แนะนำให้คุณแม่ทานนมให้มากขึ้น พักผ่อนให้มาก เดินและยืนให้น้อยลง ฟังเพลงสบายๆ จะเป็นเพลงคลาสสิก เพลงที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลาย จะได้อารมณ์ดีทั้งคุณแม่และลูกน้อย
*หากคุณแม่ใส่แหวนอยู่ ควรถอดแหวนออกก่อนแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าถึงตอนใกล้คลอดนิ้วมืออาจจะบวม หากต้องผ่าตัดคลอด อาจเป็นอุปสรรคกับกระบวนการผ่าตัดได้
*คุณแม่ไม่ควรใส่รองเท้าที่มีส้นสูง เนื่องจากสรีระมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น จะทำให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และอาจทำให้ปวดหลังอีกด้วย

32 สัปดาห์
ตรวจเลือดติดตามภาวะโลหิตจาง ตรวจน้ำตาลในเลือด อย่าลืมนับจำนวนครั้งที่ลูกน้อยดิ้นทุกวัน พักผ่อนให้มาก ระมัดระวังการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด หากมีอาการท้องแข็งบ่อยๆ แสดงว่าคุณแม่อาจจะเดินมากเกินไป ต้องพักผ่อนให้มากขึ้น เดินหรือยืนให้น้อยลง ยิ่งหากท้องแข็ง และมีอาการปวดตึงท้องร่วมด้วย ยิ่งต้องพักผ่อนให้มาก ห้ามฝืนเดินหรือทำงานต่อ
แนะนำให้นอนตะแคงเอาด้านซ้ายลง เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก การนอนหงายอาจทำให้แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกได้ ทั้งนี้ คุณแม่สามารถนอนท่าไหนก็ได้ที่รู้สึกว่าสบาย หายใจได้ตามปกติ ไม่แน่นหน้าอก และลูกในครรภ์ดิ้นปกติ (หากลูกดิ้นมากผิดปกติแสดงว่าลูกอาจไม่ชอบท่าที่คุณแม่นอนอยู่) ให้พลิกตัวเปลี่ยนท่านอน และห้ามนอนคว่ำโดยเด็ดขาด
*ควรหลีกเลี่ยงการขับรถเพราะท้องใหญ่อาจเกิดอันตราย
*น้ำมะพร้าวดื่มได้ แต่อย่ามาก เพราะน้ำตาลในเลือดอาจสูงผิดปกติได้

36 สัปดาห์
สังเกตอาการเจ็บครรภ์ (ท้องแข็ง และจะตึงเล็กน้อย เป็นแค่ครั้งหรือสองครั้งและจะหายไป อาการจะไม่ต่อเนื่อง ) อย่าลืมนับจำนวนครั้งที่ลูกดิ้น ช่วงนี้ลูกอาจจะดิ้นเบาลง เพราะลูกน้อยเริ่มโตตัวใหญ่ขึ้น ถ้าดิ้นเกิน 10 ครั้ง ถือว่าเป็นปกติ และควรจัดการตัวเอง ก่อนที่จะเตรียมตัวคลอด
  - เคลียร์งานทุกอย่างที่ทำอยู่ให้เรียบร้อย
  - ควรวางแผนในการเดินทาง ไปโรงพยาบาลหากเจ็บครรภ์ ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน
  - การติดต่อสื่อสารกับบุคคลต่างๆ หากเกิดกรณีฉุกเฉิน
  - ที่สำคัญเลย เตรียมตั้งชื่อเจ้าตัวน้อยไว้ด้วย
  - นำสมุดฝากครรภ์ไปด้วย

ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เจ้าตัวเล็กของคุณพ่อ-คุณแม่ มีพัฒนาการที่สมบูรณ์และแข็งแรงตั้งแต่ในครรภ์

-----
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Inbox : https://bit.ly/2xNaFc1
Line : @patrangsit หรือคลิก >> https://bit.ly/33p9nzw

ทำไมลูกน้อยถึงควรได้รับวัคซีน
พ่อแม่มือใหม่บางคนอาจพอรู้อยู่บ้างว่าลูกน้อยควรได้รับวัคซีน แต่อาจไม่รู้ว่า...การรับวัคซีนของลูกน้อยนั้นจำเป็นต้องได้รับตรงตามวัยด้วย เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อยสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องโรคร้ายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในเด็กได้
 

  1. การให้วัคซีนที่ถูกกำหนดไว้ตามช่วงอายุ จะสามารถทำให้ร่างกายสามารถกระตุ้นภูมิต้านทานได้อย่างเหมาะสม โดยช่วงการรับวัคซีนตามแต่ละช่วงวัยนั้น อ้างอิงจากตารางการรับวัคซีนที่แนะนำ เช่น CDC, กระทรวงสาธารณสุข, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย
  2. การรับวัคซีนล่าช้าอาจทำให้ลูกน้อยเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงพอ การรับวัคซีนตามกำหนดเวลาจึงช่วยปกป้องลูกน้อยจากโรคร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในเด็ก
  3. ร่างกายต้องการระยะเวลาในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรค และวัคซีนบางชนิดจำเป็นต้องได้รับหลายเข็ม ดังนั้น ไม่ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนเกินระยะเวลาที่แนะนำ หากมีความจำเป็นควรปรึกษาแพทย์
  4. วัคซีนบางชนิดต้องการการกระตุ้น หรือรับวัคซีนมากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันลูกน้อย และเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
  5. การฉีดวัคซีนถือว่ามีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ ในระยะยาว เพราะแม้ว่านมแม่ให้ภูมิคุ้มกันที่มีประโยชน์ แต่ไม่สามารถป้องกันเด็กจากโรคติดเชื้อได้ทุกชนิด
  6. เด็กที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนตามกำหนดเวลา ไม่เพียงแต่มีความเสี่ยงที่จะป่วยเองแต่ยังสามารถแพร่กระจายความเจ็บป่วยไปยังผู้อื่นได้ดังนั้น ลูกน้อยควรได้รับวัคซีนตรงเวลาเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายไปยังผู้อื่น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน

ตั้งค่าคุกกี้