โรคกระดูกพรุน ภัยร้ายต่อผู้สูงอายุ
ช่วงนี้ใกล้ช่วงเทศกาลวันแม่ ซึ่งลูกๆ ทุกคนก็คงอยากดูแลคุณแม่ของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ และแน่นอนว่าพออายุมากขึ้น ก็มีความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ มากขึ้น และอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุคือ โรคกระดูกพรุน โดยวันนี้หมอมีข้อมูลดีๆ มาแบ่งปันให้ทุกคนได้อ่านกัน เพื่อนำไปใช้ดูแลคุณพ่อ-คุณแม่ของตัวเอง
ถาม : อะไรคือโรคกระดูกพรุน?
ตอบ: โรคกระดูกพรุนคือโรคของกระดูกที่มีความแข็งแรงของกระดูกลดลง ทำให้กระดูกนั้นเสี่ยงต่อการหักเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง กระดูกต้นแขนส่วนที่ติดกับไหล่ และกระดูกปลายแขนส่วนที่ติดกับข้อมือ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้เป็น
โรคกระดูกพรุนปฐมภูมิ (Primary osteoporosis) เกิดจากร่างกายซ่อมสร้างกระดูกได้น้อยลงตามอายุขัย โดยเฉพาะในสตรีวัยหมดประจำเดือนซึ่งสมดุลฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้ง่ายเป็นพิเศษ จึงเรียกว่าโรคกระดูกพรุนในวัยหมดประจำเดือน (Postmenopausal osteoporosis)
โรคกระดูกพรุนทุติยภูมิ (Secondary osteoporosis) คือภาวะที่ความผิดปกติอื่นใดทำให้มีการสร้างกระดูกลดลง ไม่ว่าจะเป็นโรคต่างๆ (เช่นโรคของต่อมไทรอยด์และพาราไทรอยด์ รูมาตอยด์ เบาหวานแต่กำเนิด ฮอร์โมนเพศผิดปกติ โรคไต โรคถุงลมโป่งพอง ฯลฯ) การขาดสารอาหาร(เช่นขาดการบริโภคแคลเซียมและวิตามินดี โรคระบบการดูดซึมอาหารผิดปกติ โรคทางจิตเวชที่ทำให้การบริโภคลดลง) การใช้ยา(เช่นสเตียรอยด์ ยาต้านการซึมเศร้าและยาต้านการชักบางชนิด) หรือการใช้สารเสพติด (บุหรี่ สุรา)
ถาม : เราจะตรวจได้ไหมว่าเรามีภาวะโรคกระดูกพรุน
ตอบ: ตรวจได้โดยวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกของเรา (Bone Mass Density, BMD) โดยใช้เครื่องวัดความหนาแน่นกระดูกส่วนกลางของร่างกาย(Axial DXA) เทียบกับความหนาแน่นของมวลกระดูกของประชากรวัยหนุ่มสาว
ถ้าค่าที่ได้อยู่ระหว่าง -1 ถึง -2.5 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) คือมีภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) แต่ยังไม่เป็นโรคกระดูกพรุน
ถ้าค่าที่ได้ต่ำกว่า – 2.5 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) คือมีภาวะโรคกระดูกพรุน(Osteoporosis)
หากไม่มีโอกาสตรวจโดยใช้เครื่องตรวจมวลกระดูก สามารถประมาณความเสี่ยงของการกระดูกหักได้โดยใช้ FRAX score (สำหรับประชากรไทย)ซึ่งสามารถคำนวณได้ที่เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเชฟฟีลด์ตาม QR code ในบทความนี้โดยหากคำนวณแล้วพบว่ามีความเสี่ยงปานกลางควรตรวจด้วยเครื่องวัดความหนาแน่นมวลกระดูก ส่วนหากคำนวณแล้วพบว่ามีความเสี่ยงสูงควรเริ่มรักษาโรคกระดูกพรุน
ถาม : ใครบ้างที่มีควรรับการคัดกรองโรคกระดูกพรุน?
ตอบ: บุคคลในกลุ่มต่อไปนี้ควรตรวจความหนาแน่นกระดูกด้วยเครื่องวัดความหนาแน่นกระดูก (DXA) เพื่อคัดกรองว่ามีภาวะโรคกระดูกพรุนหรือไม่ ได้แก่
ผู้หญิงทุกคนเมื่ออายุ 65 ปีขึ้นไป และผู้ชายทุกคนเมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป
ผู้หญิงที่ประจำเดือนหมดก่อนอายุ 45 ปี รวมถึงผู้ที่ตัดรังไข่ 2 ข้างไปแล้ว
ผู้ป่วยที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นประจำ (ได้รับยาสเตียรอยด์ที่มีฤทธิ์เทียบเท่ากับเพรดนิโซโลนตั้งแต่7.5 มิลลิกรัมขึ้นไปต่อเนื่องกันอย่างน้อย3 เดือนขึ้นไป)
ผู้หญิงที่มีภาวะเอสโตรเจนต่ำก่อนหมดประจำเดือนติดต่อกัน 1 ปีขึ้นไป เช่นเจ็บป่วยเรื้อรัง ออกกำลังกายหนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง หรือได้รับ GnRH ยกเว้นเอสโตรเจนต่ำจากการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
มีประวัติบิดาหรือมารดากระดูกสะโพกหัก
ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนและมีดัชนีมวลกาย (BMI) น้อยกว่า 20
ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ส่วนสูงลดลง 4 เซนติเมตรขึ้นไป
ผู้ที่ได้รับการรักษาที่เกี่ยวกับฮอร์โมนเพศ เช่น ผู้หญิงที่รับยาต้านการสร้างเอสโตรเจนการรักษามะเร็งเต้านม หรือผู้ชายที่รับยาลดฮอร์โมนแอนโดรเจนในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก
ภาพถ่ายรังสีเอกซ์เรย์พบว่ามีกระดูกบาง หรือกระดูกสันหลังยุบ
มีประวัติกระดูกหักจากภยันตรายไม่รุนแรง (เช่นเดินแล้วหกล้มบนพื้นราบ)
ประเมิน FRAX score แล้วพบว่ามีความเสี่ยงปานกลาง คือโอกาสที่จะมีกระดูกสะโพกหักในระยะเวลา 10 ปี (10-year probability risk of hip fracture) ตั้งแต่ร้อยละ 1.5ขึ้นไปหรือโอกาสที่กระดูกชิ้นหลักหักจากภาวะกระดูกพรุนในระยะเวลา 10 ปี (10-year probability risk of major osteoporotic fracture) ตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป
ประเมินความเสี่ยงด้วยคะแนนแบบอื่นๆ (เช่น OSTAKKOS หรือ Nomogram)พบว่ามีความเสี่ยงปานกลาง
สูบบุหรี่หรือดื่มสุราปริมาณมากเป็นประจำ
มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคที่ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนทุติยภูมิเช่นโรคของต่อมไทรอยด์และพาราไทรอยด์ รูมาตอยด์ เบาหวานแต่กำเนิดเป็นต้น
ถาม : ควรจะปฏิบัติตัวเช่นไรในการป้องกันโรคกระดูกพรุนและภาวะที่เกี่ยวข้อง?
ตอบ: ควรจะปฏิบัติตนตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
ออกกำลังกายโดยการลงน้ำหนักและมีการใช้แรงต้านเพื่อเพิ่มมวลกระดูก เสริมสร้างกำลังกล้ามเนื้อส่วนล่าง และพัฒนาการทรงตัว เช่น วิ่งเหยาะ เดินสลับวิ่ง เต้นแอโรบิก เดินขึ้นบันได ยกน้ำหนัก วอลเลย์บอล ฟุตบอล บาสเกตบอล กระโดดเชือก เป็นต้น ในกรณีผู้สูงอายุหรือมีภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) ไม่ควรวิ่ง หรือเล่นกีฬาหนักๆ แต่ควรออกกำลังกายที่เบาลง ได้แก่ เดินเร็วๆ เดินขึ้นบันได รำมวยจีน รำจี้กง รำไท้ฉีควรออกกำลังกายครั้งละ40 นาทีขึ้นไปสัปดาห์ละ 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย หรือออกกำลังกายครั้งละ 30 นาทีทุกวัน
รับประทานอาหารให้ได้แคลเซียม 800 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ที่อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 50 ปี และ 1,000 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ที่มีอายุ 51 ปีขึ้นไป โดยอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูงเช่นนม นมเปรี้ยว โยเกิร์ต ชีส ปลาตัวเล็กตัวน้อย กุ้งแห้งตัวเล็ก ผักใบเขียว ถั่ว งา เต้าหู้
เพิ่มวิตามินดีซึ่งจะช่วยให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียม ช่วยเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อและป้องกันการหกล้ม โดยรับแสงแดดอย่างพอเพียง เพื่อให้ผิวหนังสร้างวิตามินดี (รับแสงแดดประมาณ 30 นาทีต่อวัน โดยเวลาที่เหมาะสม คือ 8.00 – 10.00 น. และ 15.00 – 17.00 น.)รับประทานอาหารที่มีวิตามินดีเช่นนม ปลาที่มีน้ำมัน
หากไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีได้มากพอก็รับประทานยาเม็ดหรือผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมและวิตามินดี
หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัดและโปรตีนสูงเพราะเพิ่มการขับแคลเซียมจากไต รับประทานโปรตีนแต่พอดี
งดดื่มชา กาแฟ และน้ำอัดลมงดการสูบบุหรี่ ลดการดื่มสุรา
จัดสภาพแวดล้อมในบ้านและสถานที่ที่ไปเยือนบ่อยเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้ม เช่นปูพื้นด้วยวัสดุกันลื่น ไม่วางของเกะกะบนพื้น มีไฟส่องสว่างเพียงพอเปิดไฟไว้ในทางเดินกับห้องน้ำตอนกลางคืน มีราวจับในห้องน้ำและบันได การใช้อุปกรณ์ช่วยเดินเช่นโครงเหล็กช่วยเดิน 4 ขา การปรับพฤติกรรมการลุกยืนและเดินให้ช้าลงและมั่นคงขึ้น เป็นต้น
การรักษาด้วยการให้ฮอร์โมน (Hormonal Therapy) เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือนก่อนอายุ 60 ปีในบางกรณีตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อใดที่ต้องรับการรักษาโรคกระดูกพรุนอย่างต่อเนื่อง ?
ตอบ : แพทย์อาจพิจารณารักษาโรคกระดูกพรุนอย่างต่อเนื่องโดยการใช้ยาและวิธีการอื่นๆ เมื่อมีข้อบ่งชี้ดังต่อไปนี้
เมื่อมีกระดูกสันหลังหรือสะโพกหักจากภยันตรายไม่รุนแรง
ค่าความหนาแน่นกระดูก(BMD) ต่ำกว่า – 2.5 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เมื่อวัดด้วยเครื่องวัดความหนาแน่นกระดูกส่วนกลางของร่างกาย (Axial DXA)
ผลจากการคำนวณความเสี่ยงด้วย FRAX score พบว่ามีโอกาสที่จะมีกระดูกสะโพกหักในระยะเวลา 10 ปี (10-year probability risk of hip fracture) ตั้งแต่ร้อยละ 3 ขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาว่าควรเริ่มต้นการรักษาเมื่อไรและใช้วิธีใดการรักษานั้นขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์เจ้าของไข้ซึ่งต้องปรับให้เข้ากับสภาพของผู้ป่วยแต่ละคนตามความเหมาะสม
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน ในการดูแลและป้องกันทั้งตัวเองหรือคนที่คุณรัก ให้ห่างไกลจากโรคกระดูกพรุน และถ้าท่านใดต้องการเข้ารับการตรวจหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากหมอได้ครับ
เอกสารอ้างอิง
แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคกระดูกพรุน พ.ศ. 2553. กรุงเทพ: มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย
ทวี ทรงพัฒนาศิลป์ (บรรณาธิการ) 2558 .การดูแลรักษาภาวะกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนแบบองค์รวม
T. Songpatanasilp et al. Thai Osteoporosis Foundation (TOPF) position statements on management of osteoporosis . Osteoporos Sarcopenia. 2016 Dec;2(4):191-207
บทความโดย นพ.สลักธรรม โตจิราการ
ปัจจุบันโรคข้อเข่าเสื่อม พบได้มากขึ้นโดยเฉพาะในบุคคลที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น อย่างผู้สูงอายุ ที่มักพบว่ามีอาการปวดเข่า เดินได้น้อยลง ทำงานได้น้อยลง ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
สาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม ปัญหาเกิดจากส่วนพื้นผิวในการหล่อลื่นของเข่ามีการสึกหรอลง และหากการสึกหรอมีอัตราเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งกระดูกอ่อนหายไปหมดลึกลงโดนตรงบริเวณที่เป็นกระดูกแข็ง ซึ่งใต้กระดูกแข็งจะมีเส้นประสาทอยู่ ก็จะส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บค่อนข้างมาก เกือบตลอดช่วงเวลาที่มีการเดิน สาเหตุอื่นๆ ดังนี้...
พันธุกรรม
อายุและเพศ เมื่ออายุมากขึ้น การซ่อมแซมของกระดูกอ่อนก็ลดลง
น้ำหนักเกินมาตรฐาน
มีประวัติการบัดเจ็บที่ข้อเข่า
การใช้ข้อเข่าหักโหม
ป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบ เช่น รูมาตอยด์ เกาต์
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม
เข่ามีเสียงกร๊อบแกร๊บ
มีอาการเสียวข้อเข่า
มีอาการปวดข้อเข่ามากขึ้นเรื่อยๆ
การออกกำลังกายที่เหมาะสม
กรณีที่ผู้ป่วยที่มีการวินิจฉัยว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมแล้ว ให้เน้นออกกำลังกายที่เป็นการสร้างกล้ามเนื้อ บริเวณข้อเข่า การเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รอบๆข้อเข่า ก็ช่วยทำให้กระดูกอ่อนรับภาระลดลง
แนวทางการรักษา
การรับประทานยา เช่น ยาแก้ปวด และลดอักเสบ แต่ทั้งนี้การรับประทานยาเหล่านี้ ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง เช่น อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาการ และการทำงานของไตมีความผิดปกติขึ้นได้
การฉีดยา จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ... กลุ่มที่ 1 การฉีดยาในกลุ่มสเตียรอยด์ โดยจะฉีดเข้าไปในเข้าเพียงครั้งเดียวข้อดี คือ ลดอาการปวดเข่าได้ค่อนข้างเร็วข้อเสีย คือ หากมีการฉีดบ่อยๆ จะทำให้กระดูกอ่อนของข้อเข่าซ่อมสร้างตัวเองได้ช้าลง มีความหนาของกระดูกอ่อนบางลงกลุ่มที่ 2 การฉีดยาน้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม ซึ่งผลิตจากสารที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสารที่อยู่ในน้ำเลี้ยงข้อเข่า ยาในกลุ่มนี้ก็จะสามารถไปลดการอักเสบได้
การผ่าตัด ถือเป็นการรักษาในระดับสุดท้าย กรณีที่ผู้ป่วยรับประทานยาและฉีดยามาแล้ว อาการปวดไม่ดีขึ้น ไม่สามาถจะใช้ชีวิตประจำวันได้ หรือกรณีที่สอง คือ ผู้ป่วยความเสื่อมมาก ในระดับที่เรียกว่ากระดูกอ่อน เสื่อมไปหมดแล้ว หรือกระดูกแข็งมีความเสื่อม แต่ทั้งนี้การผ่าตัดข้อเข่า จำเป็นต้องมาจำแนกอายุผู้ป่วยด้วยเช่นกัน หากกรณีผู้ป่วยมีอายุน้อย อาจไม่จำเป็นต้องใช้ข้อเข่าเทียมในทันที แต่กรณีผู้ป่วยที่มีอายุ 50 ปี ขึ้นไป อาจแนะนำให้ทำเป็นข้อเข่าเทียม หลังผ่าตัดโดยเฉลี่ยนประมาณ 1 – 2 วัน ผู้ป่วยสามารถยืนได้ และประมาณ 3 -4 วันผู้ป่วยสามารถเดินได้ แต่ทั้งนี้อาจจะต้องใช้ไม้ค้ำยันอยู่บ้างประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ความแข็งแรงของตัวกล้ามเนื้อกลับคืนมา
บทความโดย นพ.สลักธรรม โตจิราการ
รับชม Video เพิ่มเติม :
VIDEO
ภาวะข้อเข่าเสื่อม...รู้ทัน ป้องกันได้ !!
1. โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร ?
ข้อเข่าเสื่อม เป็นภาวะของโครงสร้างข้อเข่า ที่มีส่วนประกอบหลายอย่าง เช่น กระดูกอ่อน เอ็นที่อยู่รอบๆ ข้อเข่า มีความเสื่อมจากการใช้งาน ซึ่งสามารถเกิดจากการใช้งานที่มากกว่าปกติ หรือตามปกติก็ตามและภาวะข้อเข่าเสื่อมเหล่านี้ จะทำให้การทำงานของข้อเข่าทำงานได้ไม่ดีนัก
2. สาเหตุการเกิดข้อเข่าเสื่อม สาเหตุสามารถเกิดได้จากกรณีทั่วไป ตามอายุ หรือตามกิจกรรมที่ทำที่มากเกินไป และปัจจัยอื่น ๆ เช่น การที่มีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ซึ่งการที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม จะส่งผลทำให้แรงที่ไปกระทำต่อข้อเข่ามากขึ้น ประมาณ 4 กิโลกรัม ต่อทุกก้าวที่เราเดินหรือทำกิจกรรม3. อาการเตือน ภาวะข้อเข่าเสื่อม - มักมีอาการปวด กร๊อบแกร๊บ บริเวณข้อเข่า ขณะเดิน หรืออยู่เฉยๆ - มีอาการเสียวข้อเข่า ขณะเดิน หรืออยู่เฉยๆ4. เมื่อไหร่ควรตรวจคัดกรองข้อเข่าเสื่อม ? การตรวจคัดกรองข้อเข่าเสื่อมสามารถตรวจได้ แต่ช่วงอายุที่แนะนำคือ อายุ 50 ปี ขึ้นไป และในเพศหญิง ควรตรวจคัดกรองข้อเข่าอย่างยิ่ง เนื่องจาก มีโอกาสเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า หรือผู้ที่มีอาการปวดเข่า เสียวเข่า แนะนำให้ควรมาตรวจอย่างยิ่ง5. วิธีการป้องกันข้อเข่าเสื่อม
ลดกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่อเข่า หรือกิจกรรมที่ทำให้เข่างอเยอะ
กรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงกิจกรรมได้ ควรระมัดระวังการกระทำให้มากขึ้น
ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้น้ำหนักมากเกินไป
หมั่นออกกำลังกาย โดยการฝึกกล้ามเนื้อบริเวณหน้าขา ต้นขา จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง และช่วยรับข้อเข่าให้มีความมั่นคงมากขึ้น และลดอาการข้อเข่าเสื่อมได้
บทความโดย นพ.สลัธรรม โตจิราการ