
เอชไพโลไร (H. Pylori) เฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ที่เยื่อบุกระเพาะอาหารของมนุษย์ ซึ่งอาศัยคุณสมบัติในการยึดเกาะกับผิวกระเพาะอาหาร และสร้างเอนไซม์ที่สร้างความเป็นด่างรอบตัว ทำให้สามารถอยู่ในสภาวะที่เป็นกรดในกระเพาะอาหารของมนุษย์ได้ การติดเชื้อ H.pylori ก่อให้เกิดความผิดปกติของทางเดือนอาหารส่วนต้นได้หลายระดับ ตั้งแต่ไม่มีอาการใดๆ และที่พบได่บ่อย คือมีการอักเสบของกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้
การติดเชื้อเอชไพโลไร ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการ มักเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร จนทำให้มีอาการปวดท้อง แสบท้อง จุกเสียดแน่นบริเวณลิ้นปี่ และท้องด้านซ้ายบนซึ่งเป็นตำแหน่งกระเพาะอาหาร ซึ่งอาการอาจเกิดแบบเฉียบพลันและรุนแรงหากเชื้อมีปริมาณมาก หรืออาจจะเกิดอาการเรื้อรังเป็นๆ หาย ๆ กินยาลดกรดอาจจะดีขึ้นชั่วคราว พอหยุดยาก็มีอาการกำเริบขึ้นใหม่ ไม่ยอมหายขาด หากมีแผลมนกระเพาะอาหาร หรือมะเร็ง ก็อาจะมีอาการที่มีสัญญาณเตือน เช่น ถ่ายดำ อาเจียนปนเลือด น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ซึ่งความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหากอายุมาก สูบบุหรี่ หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
การติดเชื้อเป็นการติดต่อผ่าน feco oral route คือการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อเข้าไปซึ่งแหล่งของเชื้อก็มาจากกระเพาะอาหารของคนรอบตัวที่ติดต่อกันมา ความชุกของเชื้อในกระเพาะอาหารคนไทย มีราว 20-40% ตามการศึกษาแต่ละพื้นที่ การติดเชื้อเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่มักพบในเด็กซึ่งยังมีภูมิต้านทานไม่ดี และจะได้รับเชื้อ ผ่านทางผู้อาศัยร่วมกันในครอครัว และชุมชน โดนเฉพาะในกลุ่มที่มีสุขาภิบาลไม่ดี
ผู้ที่มีอาการปวดท้องหรือสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อเอชไพโลไร ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการอย่างแน่ชัด หากแพทย์ทำการซักประวัติตรวจร่างกายแล้ว สันนิษฐานว่าผู้ป่วยอาจติดเชื้อเอชไพโลไร แพทย์จะสั่งตรวจเพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัย ดังนี้
หากเชื้อได้นับการกำจัดออกไปแล้ว อาการอักเสบของกระเพาะจะลดลงหรือหายขาด อาการปวดท้องจะดีขึ้น แผลในกระเพาะจะหาย และไม่กลับมาเป็นซ้ำด้วยเหตุจากเชื้อ H.pylori อีก เป็นการลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารโดยตรง นอกจากนี่ยังเชื่อว่าสามารถลดการอักเสบเรื้อรังภายในร่างกาย ที่อาจะนำไปสู่มะเร็งอื่นๆ เช่นมะเร็งตับได้
แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยกลับมาตรวจหาเชื้อซ้ำหลังรักษาภายในเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ หลังหยุดยาทั้งหมด หากพบว่ายังมีการติดเชื้อเอชไพโลไรอยู่ ซึ่งมีโอกาสเกิดได้ราว 15-30% แล้วแต่กลุ่มประชากรแต่ละพื้นที่ และข้อจำกัดในการใช้ยาสูตรต่างๆ ของผู้ป่วย
ผู้ป่วยสามารถทำการรักษาซ้ำได้ โดยเปลี่ยนสูตรยาที่ต่างจากเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงการดื้อยา และได้ผลการรักษาตามที่หวัง
________________________________________________________________________________________________________________

นพ.ปุณภณ วรานพหิรัญ (ว.44194)
อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหารและตับ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน