
เป็นการตรวจหาเชื้อเอชไพโลไร โดยการวัดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (C-13 UBT) ที่เกิดจากปฏิกิริยาของเชื้อเอชไพโลไร ที่มีเอนไซม์ Urease จะทำการย่อย C-13 ที่ให้ผู้ป่วยกินเข้าไป และปล่อย C-13 ออกมาในรูปของ urea ซึ่งเข้าสู่กระแสเลือดและถูกขับออกมาที่ปอดและขับออกสู่ภายนอก โดยสามารถ detect ได้จากลมหายใจในเครื่องที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ

แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหยุดใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เป็นเวลา 2 สัปดาห์ งดยาบิสมัท ซับซาลิไซเลต และยาปฏิชีวนะ เป็นเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการตรวจ เพื่อไม่ให้ยาปิดบังผลการติดเชื้อ หรือเกิดผลลบลวง (false negative) นั่นเอง
ผลตรวจจะได้ภายใน 1 ชั่วโมง ซึ่งแพทย์จะนำมาใช้ประกอบการวินิจฉัยและวางแผนในการรักษาต่อไปด้วยยาปฏิชีวนะ ร่วมกับยาลดกรดขนาดสูง เป็นระยะเวลา 10-14 วัน ซึ่งหากเลือกยาที่ดีแล้ว โอกาสที่หายขาด มีสูงถึง 90%
หากเชื้อได้นับการกำจัดออกไปแล้ว อาการอักเสบของกระเพาะจะลดลงหรือหายขาด อาการปวดท้องจะดีขึ้น แผลในกระเพาะจะหาย และไม่กลับมาเป็นซ้ำด้วยเหตุจากเชื้อ H.pylori อีก เป็นการลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารโดยตรง นอกจากนี่ยังเชื่อว่าสามารถลดการอักเสบเรื้อรังภายในร่างกาย ที่อาจะนำไปสู่มะเร็งอื่นๆ เช่นมะเร็งตับได้
แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยกลับมาตรวจหาเชื้อซ้ำหลังรักษาภายในเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ หลังหยุดยาทั้งหมด หากพบว่ายังมีการติดเชื้อเอชไพโลไรอยู่ ซึ่งมีโอกาสเกิดได้ราว 15-30% แล้วแต่กลุ่มประชากรแต่ละพื้นที่ และข้อจำกัดในการใช้ยาสูตรต่างๆ ของผู้ป่วย
ผู้ป่วยสามารถทำการรักษาซ้ำได้ โดยเปลี่ยนสูตรยาที่ต่างจากเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงการดื้อยา และได้ผลการรักษาตามที่หวัง อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการตรวจ และรักษา ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยอายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหาร เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด
________________________________________________________________________________________________________________

นพ.ปุณภณ วรานพหิรัญ (ว.44194)
อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหารและตับ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน